คีเลชั่นบำบัด การบำบัดด้วยการดูดซับสารพิษและขจัดออก เพื่อล้างพิษในหลอดเลือด

คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) คืออะไร?

คีเลชั่นบำบัด คือ การล้างพิษหลอดเลือด (Chelation Therapy) หรือที่เรียกว่า การล้างสารพิษ (Recovery Blood) โดยการล้างผ่านทางน้ำเกลือ ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ต่างๆ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญ ในการจับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกินซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อและพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดของเราแล้วขจัดโลหะหนักเหล่านี้ออกผ่านระบบปัสสาวะ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน สามารถใช้วิธีการล้างพิษหลอดเลือด หรือ คีเลชั่นบำบัด เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัดบายพาส (Bypass) ได้มากถึง 80% โดยช่วยลดจำนวนอนุมูลอิสระในร่างกาย โลหะหนักที่ตกค้างสะสมจะถูกขจัดออกจากร่างกายผ่านทางระบบทางเดินปัสสาวะ

ประโยชน์ที่ได้รับจาก คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)

  • ขจัดสารพิษในร่างกายและระบบหลอดเลือด
  • ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
  • ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
  • ลดความเสี่ยงหลอดเลือดอุดตันและตีบทั้งในสมองและหัวใจ ลดระดับไขมันในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
  • ป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ ที่เกิดจากระบบไหลเวียนไม่ดี
  • บรรเทาความดันโลหิตสูงและโรคที่เกิดจากระบบไหลเวียนโลหิต เบาหวาน พิษจากโลหะหนัก ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • ลดการอักเสบของผิวหนัง
  • บรรเทาอาการอัลไซเมอร์ ช่วยให้สมองปลอดโปร่งและมีความจำดีขึ้น

คีเลชั่นบำบัด Chelation Therapy เหมาะกับใครบ้าง

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงในการรับสารพิษจาก โลหะหนัก เช่น อุดฟันด้วยอมัลกัม (สีดำ โลหะวาว) ทานอาหารทะเลที่ปนเปื้อน อาศัยใกล้โรงงานอุตสาหกรรม
  • ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบเลือด หลอดเลือดหัวใจและสมอง เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งหลอดเลือดอักเสบ เบาหวาน ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจอุดตัน หลอดเลือดสมองอุดตัน
  • ผู้ป่วยที่ใส่ stent ในหลอดเลือดหัวใจ หรือ รักษาหลังภาวะหลอดเลือดหัวใจฉับพลัน
  • ผู้ป่วยหลังหลอดเลือดสมองอุดตัน (stroke)
  • ผู้เป็นภูมิแพ้ แพ้ภูมิตนเอง
  • ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง ปวดตึงกล้ามเนื้อเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีอาการวิงเวียนศีรษะ จากการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดี
  • สามารถทำได้ ทุกช่วงอายุ ยกเว้นกลุ่มทารก และ เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ

ข้อห้ามในการทำ Chelation Therapy

  • เด็กทารก และเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ
  • สตรีมีครรภ์
  • ผู้ป่วยไตวาย หรือ ภาวะไตบกพร่อง

ควรทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เมื่อใด ?

  • ผู้ป่วยทั่วไป ที่ไม่ได้มีอาการรุนแรง จากโรคหลอดเลือด ควรทำประมาณ 10-20 ครั้ง ความถี่ 1-2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์
  • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หลอดเลือดหัวใจและสมอง หรือ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูง ควรทำประมาณ 20-30 ครั้ง ความถี่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองมาก่อน หรือ กำลังใส่ Stent, Balloon หรือจำเป็นต้องผ่าตัดหรือใส่ stent แต่ไม่สามารถผ่าตัดได้ เนื่องจากสภาวะร่างกายไม่พร้อม ควรทำคีเลชั่นประมาณ 30 ครั้งขึ้นไป

อาการหลังทำคีเลชั่นและระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลการรักษา

หลังทำครั้งที่ 1-5 ครั้งแรก อาจมีอาการที่เรียกว่า Healing Crisis เนื่องมาจาก ร่างกายได้ปล่อยสารอักเสบและสารโลหะหนักออกมาจากเนื้อเยื่อและทางผนังเส้นเลือด เพื่อขับออกทางไต เช่น อาการตัวร้อนต่ำ ๆ ปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อย อ่อนเพลียเล็กน้อย ง่วงนอนมากขึ้น แต่อาการเหล่านี้มักจะเกิดไม่นานเกิน 24 ชม แก้ไขโดยการดื่มน้ำในปริมาณมาก พักผ่อนให้เพียงพอ

การยอมรับการทำคีเลชั่นบำบัด

มาตรฐานการทำคีเลชั่นบำบัดได้รับการยอมรับจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ ที่เกิดจากสารพิษโลหะหนัก เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคข้ออักเสบ และโรคอัลไซเมอร์

อย่างไรก็ตาม การทำคีเลชั่นอาจมีความเสี่ยงบางประการในผู้ป่วยบางรายที่มีสภาพร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้ว อาจส่งผลให้เกิดอาการดังนี้ เช่น อาการแพ้ ความดันโลหิตต่ำ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น ผู้ที่สนใจทำคีเลชั่นบำบัดควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้รับอย่างเหมาะสม


*ที่มาข้อมูล:
  • เว็บไซต์ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล
  • เว็บไซต์องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • เว็บไซต์กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
Shares:
Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *