การทำกายภาพบำบัดHealth Project

จัดฟันคืออะไร? คู่มือศึกษาก่อนเริ่มต้นการจัดฟัน

จัดฟันคืออะไร? เตรียมพร้อมก่อนเริ่มจัดฟัน (Braces) คู่มือฉบับสมบูรณ์ที่รวบรวมข้อมูลทุกด้านของการจัดฟัน ทั้งประเภท ขั้นตอน และค่าใช้จ่าย และคลินิกจักฟันเพื่อสุขภาพฟันที่ดี
จัดฟันที่ไหนดี

ข้อดีของการจัดฟันมีมากมาย และมีข้อเสียอย่างไรที่คุณต้องรู้ก่อนจัดฟัน

รอยยิ้มที่สวยงามและมั่นใจเป็นสิ่งที่ใครหลายคนปรารถนา นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว การมีฟันที่เรียงตัวเป็นระเบียบยังส่งผลดีต่อสุขภาพช่องปากโดยรวมอีกด้วย การจัดฟันจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันที่ไม่เป็นระเบียบ บทความนี้จะเป็นคู่มือฉบับเริ่มต้นสำหรับผู้ที่สนใจการจัดฟัน โดยจะอธิบายความหมายของการจัดฟัน ประเภทของการจัดฟัน ขั้นตอนการจัดฟัน ข้อดีข้อเสีย และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

จัดฟันคืออะไร?

การจัดฟัน (Orthodontics) เป็นทันตกรรมเฉพาะทางแขนงหนึ่งที่มุ่งเน้นการวินิจฉัย การป้องกัน และการรักษาความผิดปกติของการเรียงตัวของฟัน ขากรรไกร และใบหน้า โดยมีเป้าหมายหลักคือการปรับปรุงการสบฟัน (Occlusion) ให้ถูกต้องสวยงาม และส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีในระยะยาว ทันตแพทย์จัดฟัน (Orthodontist) คือผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะทางเพิ่มเติมหลังจบการศึกษาทันตแพทยศาสตรบัณฑิต เพื่อให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการวางแผนและดำเนินการรักษาการจัดฟัน

ทำไมต้องจัดฟัน?

การจัดฟันไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีผลดีต่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตอีกด้วย ดังนี้

  • ปรับปรุงการสบฟัน: ฟันที่เรียงตัวไม่ดีอาจทำให้เกิดปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดการสึกของฟันที่ไม่สม่ำเสมอ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาข้อต่อขากรรไกร (Temporomandibular Joint Disorders – TMJ) การจัดฟันจะช่วยให้ฟันบนและฟันล่างสบกันได้อย่างถูกต้อง ทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ละเอียดและลดปัญหาที่กล่าวมา
  • ทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้น: ฟันที่ซ้อนเกหรือไม่เป็นระเบียบจะทำความสะอาดได้ยาก เศษอาหารและคราบพลัคสามารถสะสมตามซอกฟัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและโรคเหงือก การจัดฟันจะช่วยให้ฟันเรียงตัวเป็นระเบียบ ทำให้ง่ายต่อการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน
  • ลดความเสี่ยงของโรคเหงือกและฟันผุ: การสะสมของคราบพลัคและหินปูนบริเวณฟันที่ทำความสะอาดได้ยากเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคเหงือกอักเสบ เหงือกร่น และฟันผุ การจัดฟันช่วยลดบริเวณที่คราบพลัคสามารถสะสมได้
  • แก้ไขปัญหาการพูด: ในบางกรณี ฟันที่เรียงตัวผิดปกติอาจส่งผลต่อการออกเสียงบางคำไม่ชัดเจน การจัดฟันสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้
  • เสริมสร้างความมั่นใจ: รอยยิ้มที่สวยงามและมั่นใจสามารถส่งผลดีต่อบุคลิกภาพและความรู้สึกของตนเอง การจัดฟันจึงช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองได้
  • แก้ไขปัญหาขากรรไกร: ในบางกรณีที่มีความผิดปกติของขากรรไกร เช่น ขากรรไกรบนหรือล่างยื่นมากเกินไป การจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกร (Orthognathic Surgery) สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างใบหน้าและการสบฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของการจัดฟัน

ปัจจุบันมีวิธีการจัดฟันหลากหลายรูปแบบให้เลือก ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. การจัดฟันแบบโลหะ (Metal Braces): เป็นวิธีจัดฟันแบบดั้งเดิมที่ใช้แบร็กเก็ต (Brackets) โลหะติดบนผิวฟัน และมีลวด (Archwire) ที่ยึดกับแบร็กเก็ตด้วยยางโอริง (O-ring) เพื่อออกแรงเคลื่อนฟัน
    • ข้อดี: มีประสิทธิภาพสูงในการเคลื่อนฟัน ราคาค่อนข้างถูกกว่าแบบอื่นๆ มีความทนทาน
    • ข้อเสีย: เห็นเครื่องมือจัดฟันชัดเจน อาจทำให้รู้สึกไม่สบายในช่วงแรกของการใส่และการปรับเครื่องมือ ต้องดูแลรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ
  2. การจัดฟันแบบเซรามิก (Ceramic Braces): มีลักษณะคล้ายกับการจัดฟันแบบโลหะ แต่แบร็กเก็ตทำจากวัสดุเซรามิกที่มีสีเหมือนฟัน ทำให้ดูกลมกลืนและสังเกตเห็นได้ยากกว่า
    • ข้อดี: สวยงามกว่าแบบโลหะ มองเห็นได้ยากกว่า
    • ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าแบบโลหะ อาจเปราะบางกว่า และยางโอริงอาจเปลี่ยนสีได้
  3. การจัดฟันแบบใส (Clear Aligners): เป็นการจัดฟันโดยใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใสที่ทำจากพลาสติกชนิดพิเศษ ออกแบบมาให้พอดีกับรูปฟันของผู้ป่วยแต่ละราย สามารถถอดออกได้เมื่อรับประทานอาหารและทำความสะอาดฟัน
    • ข้อดี: แทบมองไม่เห็น สวมใส่สบาย ถอดออกได้ ทำให้รับประทานอาหารและทำความสะอาดฟันได้สะดวก
    • ข้อเสีย: ราคาสูงที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการเรียงตัวของฟันไม่ซับซ้อนมากนัก ต้องใส่เครื่องมืออย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของทันตแพทย์
  4. การจัดฟันแบบดามอน (Damon Braces): เป็นระบบการจัดฟันแบบโลหะหรือเซรามิกที่ใช้แบร็กเก็ตแบบ Self-ligating ซึ่งมีกลไกในการล็อคลวดโดยไม่ต้องใช้ยางโอริง
    • ข้อดี: อาจใช้ระยะเวลาในการรักษาน้อยกว่าการจัดฟันแบบดั้งเดิม อาจรู้สึกสบายกว่าเนื่องจากแรงที่ใช้ในการเคลื่อนฟันน้อยกว่า
    • ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าการจัดฟันแบบโลหะหรือเซรามิกทั่วไป
  5. การจัดฟันด้านใน (Lingual Braces): เป็นการติดแบร็กเก็ตและลวดไว้ที่ด้านในของฟัน ทำให้มองไม่เห็นเครื่องมือจัดฟันจากภายนอก
    • ข้อดี: มองไม่เห็นเครื่องมือจัดฟัน
    • ข้อเสีย: ราคาสูงที่สุด อาจรู้สึกไม่สบายในช่วงแรกของการใส่และการปรับเครื่องมือ อาจมีผลต่อการพูดในช่วงแรก ต้องดูแลรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ

ขั้นตอนการจัดฟันโดยทั่วไป

กระบวนการจัดฟันโดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การปรึกษาและตรวจวินิจฉัย: ทันตแพทย์จัดฟันจะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียด สอบถามประวัติทางทันตกรรม และอาจมีการถ่ายภาพรังสี (เช่น Panoramic X-ray, Cephalometric X-ray) และพิมพ์ปาก (Dental Impression หรือ Digital Scan) เพื่อประเมินปัญหาการเรียงตัวของฟันและขากรรไกรอย่างแม่นยำ
  2. การวางแผนการรักษา: ทันตแพทย์จัดฟันจะวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการตรวจวินิจฉัย และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยจะอธิบายรายละเอียดของแผนการรักษา ระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ ค่าใช้จ่าย และทางเลือกในการจัดฟันต่างๆ ให้ผู้ป่วยทราบ
  3. การเตรียมช่องปาก: ก่อนเริ่มการติดเครื่องมือจัดฟัน อาจจำเป็นต้องมีการเคลียร์ช่องปาก เช่น การถอนฟันที่ไม่จำเป็น การขูดหินปูน หรือการรักษาฟันผุ
  4. การติดเครื่องมือจัดฟัน: ในกรณีของการจัดฟันแบบติดแน่น (โลหะ เซรามิก ดามอน ด้านใน) ทันตแพทย์จะทำการติดแบร็กเก็ตบนผิวฟันแต่ละซี่ และใส่ลวดเชื่อมต่อระหว่างแบร็กเก็ต สำหรับการจัดฟันแบบใส จะมีการส่งข้อมูลการพิมพ์ปากหรือการสแกนดิจิทัลไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อผลิตชุดเครื่องมือจัดฟันแบบใสตามลำดับ
  5. การปรับเครื่องมือและการติดตามผล: ผู้ป่วยจะต้องมาพบทันตแพทย์จัดฟันตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ (โดยทั่วไปทุก 4-6 สัปดาห์) เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน หรือรับเครื่องมือจัดฟันแบบใสชุดใหม่ ทันตแพทย์จะติดตามความคืบหน้าของการรักษาและปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม
  6. การถอดเครื่องมือจัดฟัน: เมื่อการรักษาเป็นไปตามแผนและฟันเรียงตัวได้ตามที่ต้องการ ทันตแพทย์จะทำการถอดเครื่องมือจัดฟันออก
  7. การใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน (Retainer): หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว ฟันยังมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิม จึงจำเป็นต้องใส่เครื่องมือคงสภาพฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาผลลัพธ์ของการจัดฟันในระยะยาว เครื่องมือคงสภาพฟันมีทั้งแบบถอดได้และแบบติดแน่น

ข้อดีและข้อเสียของการจัดฟัน

ข้อดีข้อเสีย
ปรับปรุงการสบฟันให้ถูกต้องอาจมีอาการเจ็บหรือไม่สบายในช่วงแรกของการใส่และการปรับเครื่องมือ
ทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้นต้องดูแลรักษาความสะอาดช่องปากเป็นพิเศษ
ลดความเสี่ยงของโรคเหงือกและฟันผุอาจมีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารบางชนิด
แก้ไขปัญหาการพูดบางกรณีได้ใช้ระยะเวลาในการรักษานาน (โดยเฉลี่ย 1-3 ปี หรือมากกว่า)
เสริมสร้างความมั่นใจในรอยยิ้มและบุคลิกภาพมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
แก้ไขปัญหาขากรรไกรบางประเภทได้อาจต้องมาพบทันตแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ

ใครบ้างที่ควรจัดฟัน?

บุคคลที่มีปัญหาการเรียงตัวของฟันและขากรรไกรดังต่อไปนี้ อาจพิจารณาเข้ารับการจัดฟัน:

  • ฟันซ้อนเก: ฟันขึ้นมาไม่ตรงแนว ทำให้ฟันดูไม่เป็นระเบียบ
  • ฟันห่าง: มีช่องว่างระหว่างฟัน
  • ฟันยื่น: ฟันบนหรือฟันล่างยื่นออกมามากเกินไป
  • ฟันสบลึก (Overbite): ฟันบนสบคลุมฟันล่างมากเกินไป
  • ฟันสบเปิด (Open Bite): ฟันบนและฟันล่างไม่สบกันเมื่อกัดฟัน
  • ฟันสบคร่อม (Crossbite): ฟันบนสบอยู่ด้านในของฟันล่าง
  • ขากรรไกรผิดปกติ: ขากรรไกรบนและล่างมีขนาดหรือตำแหน่งที่ไม่สัมพันธ์กัน

อายุที่เหมาะสมสำหรับการจัดฟัน

การจัดฟันสามารถทำได้ในทุกช่วงอายุ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดฟันมักอยู่ในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังมีการเจริญเติบโต ทำให้การเคลื่อนฟันเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่จำนวนมากก็เข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และได้รับผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน

การจัดฟันเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่มีประโยชน์มากมาย นอกเหนือจากการปรับปรุงความสวยงามของรอยยิ้มแล้ว ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีและแก้ไขปัญหาการสบฟันต่างๆ หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเรียงตัวของฟันและสนใจการจัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดฟันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเตรียมตัวสำหรับการรักษาได้อย่างถูกต้อง

การจัดฟัน แก้ไขปัญหาอะไรได้บ้าง

การจัดฟันเป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่มุ่งเน้นการแก้ไขตำแหน่งของฟันและขากรรไกรให้อยู่ในระเบียบที่เหมาะสม นอกเหนือจากความสวยงามของรอยยิ้มแล้ว การจัดฟันยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับฟันและการบดเคี้ยวอีกด้วย

ปัญหาหลักที่การจัดฟันสามารถแก้ไขได้ ได้แก่ ฟันซ้อนเก (Crowding) ซึ่งทำให้ทำความสะอาดฟันได้ยาก เพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุและโรคเหงือก ฟันห่าง (Spacing) ซึ่งอาจส่งผลต่อความสวยงามและการออกเสียง ฟันยื่น (Overjet/Overbite) ที่อาจเกิดจากการเจริญเติบโตของขากรรไกรที่ไม่สมดุล หรือพฤติกรรมในวัยเด็ก เช่น การดูดนิ้ว ฟันสบลึก (Deep bite) ที่ฟันบนสบลงมาคลุมฟันล่างมากเกินไป ฟันสบเปิด (Open bite) ที่ฟันบนและฟันล่างไม่สบกัน ทำให้เกิดปัญหาในการกัดและเคี้ยวอาหาร และ ฟันสบคร่อม (Crossbite) ที่ฟันบนและฟันล่างสบกันไม่ถูกต้อง

การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการจัดฟันไม่เพียงแต่ช่วยให้ฟันเรียงตัวสวยงามขึ้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปากในระยะยาวอีกด้วย ฟันที่เรียงตัวอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย ลดการสะสมของคราบพลัคและหินปูน ลดความเสี่ยงของฟันผุและโรคเหงือก การสบฟันที่ถูกต้องยังช่วยให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพ ลดแรงกดทับที่ผิดปกติบนข้อต่อขากรรไกรและฟัน ทำให้ลดความเสี่ยงของปัญหาข้อต่อขากรรไกรอักเสบ (Temporomandibular Joint Disorders: TMJ) และการสึกของฟันที่ผิดปกติ

การจัดฟันจึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีในระยะยาว ควบคู่ไปกับการมีรอยยิ้มที่สวยงามและมั่นใจยิ่งขึ้น

ถาม – ตอบ เรื่องจัดฟัน

คำตอบ: การจัดฟันในช่วงแรกอาจรู้สึกตึงหรือเจ็บเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังการใส่เครื่องมือหรือปรับลวด แต่ความรู้สึกนี้จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน สามารถบรรเทาอาการด้วยยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) และการรับประทานอาหารอ่อนๆ

ที่มา: American Association of Orthodontists (AAO). (https://aaoinfo.org/)

คำตอบ: ระยะเวลาในการจัดฟันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของปัญหาฟัน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1-3 ปี ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลา ได้แก่ ชนิดของเครื่องมือที่ใช้ ความร่วมมือของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อการรักษา

ที่มา: National Institute of Dental and Craniofacial Research (NIDCR). (https://www.nidcr.nih.gov/)

คำตอบ: ค่าใช้จ่ายในการจัดฟันมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องมือ (เช่น เหล็กจัดฟัน เซรามิก อินวิสalign) ความซับซ้อนของเคส และคลินิกที่เลือก โดยทั่วไปราคาเริ่มต้นอาจอยู่ที่หลักหมื่นบาท และอาจสูงถึงหลักแสนบาท

คำตอบ: การจัดฟันมีหลายประเภทหลักๆ ได้แก่ การจัดฟันแบบโลหะ (เหล็กจัดฟัน) การจัดฟันแบบเซรามิก การจัดฟันแบบใส (อินวิสalign) และการจัดฟันแบบดามอน ทันตแพทย์จัดฟันจะเป็นผู้แนะนำประเภทที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ที่มา: Mayo Clinic. (https://www.mayoclinic.org/)

คำตอบ: ในบางกรณี การจัดฟันอาจส่งผลให้รูปหน้าดูเรียวขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาฟันยื่นหรือขากรรไกรไม่ได้สัดส่วน การแก้ไขปัญหาเหล่านี้อาจทำให้โครงสร้างใบหน้าโดยรวมดูดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ที่มา: บทความวิจัยและข้อมูลจากทันตแพทย์จัดฟัน (ผลลัพธ์และความเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)/)



บทความของ โครงการการศึกษาความรอบรู้เฉพาะเรื่อง เกี่ยวกับสุขภาพ, กายภาพบำบัดและการนวดช่วยดูแลสุขภาพ บรรเทาอาการผ่านการเรียนรู้กายวิภาคจากสื่อออนไลน์


*ที่มาข้อมูลและรูปภาพประกอบ:
  • American Association of Orthodontists (AAO). (n.d.). What is orthodontics?. Retrieved from https://www.aaoinfo.org/
  • Mayo Clinic. (2023, March 23). Braces. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/braces/about/pac-20384607
  • National Institute of Dental and Craniofacial Research (NIDCR). (n.d.). Orthodontics. Retrieved from https://www.nidcr.nih.gov/health-info/orthodontics
  • American Association of Orthodontists. (n.d.). Common orthodontic problems. Retrieved from https://aaoinfo.org/common-orthodontic-problems/
  • Mayo Clinic. (2023, June 9). Braces and retainers. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/braces-and-retainers/about/pac-20384607
  • เว็บไซต์รูปภาพฟรี (https://unsplash.com//)

Shares: