ภูมิแพ้ และ ภูมิตก เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? ไขทุกข้อสงสัยฉบับสมบูรณ์
หลายคนอาจเคยสงสัยว่าอาการป่วยบ่อย เป็นหวัดง่าย ผิวหนังเป็นผื่นคันที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่นั้น แท้จริงแล้วเกิดจาก “ภูมิแพ้” หรือ “ภูมิตก” กันแน่? แม้ทั้งสองคำจะเกี่ยวข้องกับ “ระบบภูมิคุ้มกัน” ของร่างกาย แต่แท้จริงแล้วกลับมีความหมาย กลไกการเกิดโรค และผลกระทบต่อสุขภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองภาวะนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม บทความนี้จะพาทุกท่านไปไขทุกข้อสงสัยให้กระจ่าง
ทำความรู้จัก “ระบบภูมิคุ้มกัน”: กองทัพปกป้องร่างกาย
ก่อนจะไปทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างภูมิแพ้และภูมิตก เราควรทำความรู้จักกับ “ระบบภูมิคุ้มกัน” (Immune System) ของร่างกายเราเสียก่อน เปรียบเสมือนกองทัพทหารที่มีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และพยาธิ เมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามา ระบบภูมิคุ้มกันจะส่งทหารซึ่งก็คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ เข้าต่อสู้และกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น เพื่อให้ร่างกายยังคงแข็งแรงและทำงานได้ตามปกติ
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
- ภูมิคุ้มกันทำงานไวเกินไป (Overactive Immune System): เกิดปฏิกิริยาต่อสิ่งที่โดยปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของ “โรคภูมิแพ้”
- ภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ (Underactive Immune System): หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะภูมิตก” หรือ “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ภูมิแพ้”: เมื่อร่างกายตอบสนองรุนแรงต่อสิ่งที่ไม่อันตราย
ภูมิแพ้ (Allergy) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารบางอย่างที่เรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” (Allergens) ซึ่งโดยปกติแล้วไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายจะเข้าใจผิดว่าสารเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย และจะสร้างสารภูมิต้านทานที่เรียกว่า “อิมมูโนโกลบูลินอี” (Immunoglobulin E หรือ IgE) ขึ้นมาเพื่อต่อต้าน
เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปอีกครั้งในอนาคต IgE ที่สร้างขึ้นจะกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายหลั่งสารเคมีต่างๆ ออกมา โดยเฉพาะ “ฮีสตามีน” (Histamine) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ขึ้น
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
สาเหตุของโรคภูมิแพ้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยร่วมกันระหว่าง พันธุกรรม และ สิ่งแวดล้อม หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ ก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้สูงขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มลภาวะ และวิถีชีวิตแบบคนเมืองก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้พบผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น
สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย
- สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ: ไรฝุ่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หญ้า เชื้อรา ขนสัตว์เลี้ยง แมลงสาบ
- สารคัดหลั่งจากสัตว์เลี้ยง: น้ำลายจากสัตว์เลี้ยง สุนัข และแมว
- อาหาร: นมวัว ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง แป้งสาลี อาหารทะเล
- ยา: ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาแก้ปวด
- อื่นๆ: แมลงสัตว์กัดต่อย น้ำยาง
อาการของโรคภูมิแพ้
อาการของโรคภูมิแพ้จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้และอวัยวะที่เกิดปฏิกิริยา
- ระบบทางเดินหายใจ: จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันจมูก ไอ หายใจมีเสียงวี้ด หอบหืด
- ดวงตา: คันตา แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล
- ผิวหนัง: ผื่นคัน ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ
- ระบบทางเดินอาหาร: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย
- อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis): เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจมีอาการหลายระบบพร้อมกัน เช่น ผื่นขึ้นทั่วตัว หายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำ และอาจหมดสติได้
ผลเสียต่อสุขภาพจากโรคภูมิแพ้
แม้โรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนหรือการทำงานลดลง รบกวนการนอนหลับ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหืดที่ควบคุมได้ยาก
“ภูมิตก”: เมื่อเกราะป้องกันร่างกายอ่อนแอ
ภูมิตก (Immunodeficiency) หรือ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ต่ำกว่าปกติหรือไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ความสามารถในการป้องกันและต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ลดลง ส่งผลให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย ป่วยบ่อย และเมื่อป่วยแล้วมักมีอาการรุนแรงกว่าคนปกติและหายช้า
สาเหตุของภาวะภูมิตก
ภาวะภูมิตกสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักตามสาเหตุ
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด (Primary Immunodeficiency): เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้ไม่บ่อย เกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นภายหลัง (Secondary Immunodeficiency): เป็นประเภทที่พบได้บ่อยกว่า เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น
- การติดเชื้อ: โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4
- โรคเรื้อรังบางชนิด: เช่น โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง) โรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับ
- ภาวะทุพโภชนาการ: การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินซี วิตามินดี สังกะสี
- ยาบางชนิด: เช่น ยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ ยาเคมีบำบัด
- ปัจจัยด้านวิถีชีวิต: ความเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
อาการที่บ่งชี้ว่าอาจมีภาวะภูมิตก
สัญญาณเตือนสำคัญของภาวะภูมิตกคือ การติดเชื้อที่บ่อยผิดปกติ รุนแรง และหายยาก
- เป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่บ่อยครั้ง
- มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะมากกว่า 4 ครั้งต่อปี (เช่น ไซนัสอักเสบ หูอักเสบ หลอดลมอักเสบ)
- มีการติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ติดเชื้อราในช่องปากหรือบนผิวหนังบ่อยๆ
- ท้องเสียเรื้อรัง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น
- แผลหายช้า
ผลเสียต่อสุขภาพจากภาวะภูมิตก
ภาวะภูมิตกส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อโรคได้ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากเชื้อโรคที่ปกติไม่ก่อให้เกิดโรคในคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดอีกด้วย
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง “ภูมิแพ้” และ “ภูมิตก”
หัวข้อเปรียบเทียบ | ภูมิแพ้ (Allergy) | ภูมิตก (Immunodeficiency) |
การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน | ทำงานไวเกินไป (Overactive) ตอบสนองต่อสิ่งที่ไม่อันตราย | ทำงานได้ไม่เต็มที่ (Underactive) ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ |
สาเหตุหลัก | ปฏิกิริยาต่อ “สารก่อภูมิแพ้” | การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันบกพร่อง |
กลไก | ร่างกายสร้าง IgE มาต่อต้านสารก่อภูมิแพ้ | จำนวนหรือประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง |
อาการที่พบบ่อย | จาม, น้ำมูกไหล, ผื่นคัน, หอบหืด, ลมพิษ | ติดเชื้อบ่อย, ป่วยง่าย, หายช้า, อ่อนเพลีย |
ตัวกระตุ้น | ไรฝุ่น, เกสรดอกไม้, อาหาร, ขนสัตว์ | เชื้อโรค (แบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา) |
ผลกระทบระยะยาว | ลดคุณภาพชีวิต, อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน | เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง, เสี่ยงเป็นมะเร็ง |
สรุป: เหมือนที่ “ระบบภูมิคุ้มกัน” แต่ต่างกันที่ “การทำงาน”
โดยสรุปแล้ว ภูมิแพ้ และ ภูมิตก แม้จะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกัน แต่เป็นภาวะที่อยู่คนละขั้วอย่างสิ้นเชิง ภูมิแพ้คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกัน “ขยันเกินเหตุ” ทำงานไวเกินไปและตอบสนองต่อสิ่งที่ปกติไม่เป็นอันตราย ในขณะที่ ภูมิตกคือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกัน “ขี้เกียจ” หรืออ่อนแอลง ทำให้ไม่สามารถปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแยกแยะระหว่างสองภาวะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพ หากคุณมีอาการป่วยบ่อย ติดเชื้อง่าย หรือมีอาการแพ้ต่างๆ ที่รบกวนการใช้ชีวิต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งแนวทางการรักษาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การรักษาภูมิแพ้มุ่งเน้นไปที่การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ ส่วนการดูแลภาวะภูมิตกจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันการติดเชื้อ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และการรักษาสาเหตุที่ทำให้ภูมิตก
การดูแลสุขภาพองค์รวม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียด เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำงานได้อย่างสมดุลและแข็งแรง ห่างไกลจากทั้งโรคภูมิแพ้และภาวะภูมิตก
T
*ที่มาข้อมูลและรูปภาพประกอบ:
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
- โรงพยาบาลกรุงเทพ
- โรงพยาบาลสมิติเวช
- สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย
- เว็บไซต์รูปภาพฟรี (https://unsplash.com/)