Health Projectการดูแลสุขภาพ

อะฟลาทอกซิน ภัยเงียบจากเชื้อรา อันตรายถึงชีวิต

อะฟลาทอกซิน สารพิษจากเชื้อราที่อาจปนเปื้อนในอาหาร เป็นภัยร้ายทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะมะเร็งตับ ทำความเข้าใจที่มาและอาหารที่พบเพื่อป้องกันตัวคุณและคนที่คุณรัก
สารอะฟลาทอกซิน ภัยเงียบจากเชื้อรา อันตรายถึงชีวิต

สารอะฟลาทอกซินในอาหาร (Aflatoxin) สารพิษจากธรรมชาติที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต

อะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) คือ สารพิษจากธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันโดยที่เราไม่รู้ตัว สารพิษชนิดนี้เกิดจากเชื้อราบางชนิดและมีฤทธิ์ในการก่อมะเร็งสูงมาก โดยเฉพาะ มะเร็งตับ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้คนทั่วโลก บทความนี้จะเจาะลึกทุกเรื่องเกี่ยวกับอะฟลาทอกซิน ตั้งแต่แหล่งกำเนิด อาหารที่มักพบ ไปจนถึงอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิต เพื่อให้คุณเข้าใจและหาวิธีป้องกันตัวเองและคนที่คุณรักจากภัยร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สารอะฟลาทอกซินเกิดจากอะไร?

สารอะฟลาทอกซินไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus ซึ่งเป็นเชื้อราที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและชื้น โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้นอย่างประเทศไทย เชื้อราเหล่านี้จะสร้างสารพิษอะฟลาทอกซินออกมาในระหว่างการเติบโตและการสืบพันธุ์ เชื้อรากลุ่มนี้สามารถพบได้ทั่วไปในดิน เศษซากพืช หรือแม้แต่ในอากาศ และจะเริ่มสร้างสารพิษเมื่ออยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เช่น การจัดเก็บอาหารที่ไม่ดีพอ มีความชื้นสูง หรือเมล็ดพืชได้รับความเสียหายจากแมลง ทำให้เชื้อราเข้าไปเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น

นอกจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมแล้ว การปนเปื้อนของอะฟลาทอกซินยังอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในแปลงเพาะปลูก หากพืชผลได้รับความเสียหายจากภัยแล้งหรือการรบกวนของแมลง และยังรวมถึงขั้นตอนหลังการเก็บเกี่ยว เช่น การตากแห้งที่ไม่เพียงพอ การเก็บในโกดังที่มีความชื้นสูง หรือการบรรจุหีบห่อที่ไม่เหมาะสม ทำให้เชื้อราสามารถเจริญเติบโตและสร้างสารพิษสะสมได้ สารอะฟลาทอกซินเป็นสารที่ทนความร้อนสูงมาก การนำอาหารไปปรุงสุกด้วยความร้อนทั่วไป เช่น การต้ม ทอด หรือนึ่ง อาจไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ได้ทั้งหมด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการป้องกันตั้งแต่ต้นทางจึงสำคัญกว่าการกำจัดในภายหลัง


สารอะฟลาทอกซินมีในอาหารประเภทใด?

สารอะฟลาทอกซินมักพบปนเปื้อนอยู่ในอาหารประเภท ธัญพืช ถั่ว และเมล็ดพืช ที่มีการจัดเก็บไม่เหมาะสมและได้รับความชื้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอาหารดังต่อไปนี้:

  • ถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์จากถั่วลิสง: นี่คืออาหารที่พบอะฟลาทอกซินได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะถั่วลิสงดิบที่ตากแห้งไม่สนิท รวมถึงเนยถั่วและอาหารว่างจากถั่วลิสง
  • ข้าวโพดและผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด: ข้าวโพดเป็นอีกหนึ่งพืชที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะข้าวโพดที่ถูกเก็บในโกดังที่มีความชื้น
  • เมล็ดธัญพืช: เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง รวมถึงเมล็ดพืชน้ำมันบางชนิด
  • เครื่องเทศ: โดยเฉพาะพริกแห้งและพริกป่นที่จัดเก็บไม่ดี อาจมีเชื้อราปนเปื้อนได้ง่าย
  • ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืช: เช่น แป้งข้าวโพด, แป้งจากถั่วลิสง, และอาหารสัตว์บางชนิดที่ใช้ธัญพืชเป็นวัตถุดิบ

นอกจากนี้ สารอะฟลาทอกซินยังสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ระบบห่วงโซ่อาหารได้อีกด้วย หากสัตว์เลี้ยง เช่น วัวหรือไก่ ได้รับอาหารที่มีอะฟลาทอกซินปนเปื้อน สารพิษนี้สามารถถูกส่งผ่านไปยังผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้ เช่น น้ำนม ไข่ และเนื้อสัตว์ แม้ในปริมาณที่น้อยลง แต่ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพได้


สารอะฟลาทอกซินอันตรายอย่างไร?

สารอะฟลาทอกซินมีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับ ตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สำคัญในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับอะฟลาทอกซินในปริมาณมากอย่างเฉียบพลัน อาจก่อให้เกิดอาการพิษเฉียบพลัน (Acute Aflatoxicosis) ซึ่งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะ ตับวายเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามที่น่ากลัวกว่าคือการได้รับอะฟลาทอกซินในปริมาณน้อยๆ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเรียกว่า พิษเรื้อรัง สารพิษนี้จะไปทำลายเซลล์ตับและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (DNA) ของเซลล์ตับ นำไปสู่การพัฒนาของ มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma) ซึ่งเป็นมะเร็งที่ร้ายแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก สารอะฟลาทอกซินถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 (Group 1 Carcinogen) โดยองค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ซึ่งหมายถึงเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้อย่างแน่นอน

การได้รับสารอะฟลาทอกซินยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในร่างกายได้อีกด้วย เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น รวมถึงอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตในเด็ก และอาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคตับชนิดอื่นๆ เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis) อีกด้วย


สารอะฟลาทอกซิน มีลักษณะเป็นอย่างไร?

นี่คือจุดสำคัญที่ทำให้หลายคนพลาดพลั้งตกเป็นเหยื่อของสารพิษชนิดนี้ เพราะ เราไม่สามารถมองเห็นอะฟลาทอกซินได้ด้วยตาเปล่า สารพิษนี้ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรสชาติ ทำให้เราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอาหารชิ้นไหนมีสารพิษปนเปื้อนอยู่หรือไม่ สิ่งที่เราเห็นได้คือ ตัวเชื้อรา ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นผงสีเขียว สีเหลือง หรือสีดำปนอยู่บนอาหารที่เริ่มขึ้นราแล้ว แต่การมีเชื้อราไม่ได้หมายความว่าอาหารนั้นจะมีอะฟลาทอกซินเสมอไป และในทางกลับกัน อาหารที่ดูปกติ ไม่มีราปรากฏให้เห็น ก็อาจมีอะฟลาทอกซินสะสมอยู่ได้เช่นกัน หากมีการปนเปื้อนในขั้นตอนก่อนหน้าแล้ว

ดังนั้น การสังเกตจึงไม่ใช่วิธีที่แน่นอนในการป้องกันตัวเอง สิ่งสำคัญคือการเลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีการผลิตและจัดเก็บตามมาตรฐาน และที่สำคัญที่สุดคือการจัดเก็บอาหารในบ้านของเราเองให้ถูกวิธีเสมอ ควรเก็บอาหารแห้ง เช่น ถั่วลิสง หรือธัญพืชไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทและในที่ที่แห้ง เพื่อป้องกันความชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเจริญเติบโตของเชื้อราที่สร้างอะฟลาทอกซิน


สรุป: สารอะฟลาทอกซิน ภัยร้ายที่ต้องรู้จักและป้องกัน

อะฟลาทอกซินเป็นสารพิษจากเชื้อราที่อันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งตับ ซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในแต่ละปี สารพิษนี้สามารถปนเปื้อนอยู่ในอาหารที่เรากินอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มถั่วลิสงและธัญพืชที่จัดเก็บไม่ถูกวิธี และด้วยความที่อะฟลาทอกซินไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้เราไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพของเราและคนที่คุณรัก

ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการได้รับสารอะฟลาทอกซิน คุณควร:

  1. เลือกซื้ออาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และมีมาตรฐานการผลิตที่เหมาะสม
  2. สังเกตลักษณะอาหาร หากพบว่ามีเชื้อรา มีกลิ่นอับชื้น หรือลักษณะผิดปกติ ควรทิ้งทันที อย่าพยายามนำส่วนที่ดูปกติไปบริโภค
  3. จัดเก็บอาหารอย่างถูกวิธี ควรเก็บอาหารแห้งในภาชนะที่ปิดสนิทและในที่ที่แห้ง ไม่มีความชื้น
  4. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่เก่าเก็บหรือหมดอายุ

การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสารอะฟลาทอกซินเป็นขั้นตอนแรกในการป้องกันตนเองจากภัยเงียบนี้ อย่ามองข้ามความเสี่ยงและอย่าเสี่ยงกับการบริโภคอาหารที่อาจเป็นอันตราย เพราะสุขภาพของคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด


บทความของ โครงการการศึกษาความรอบรู้เฉพาะเรื่อง เกี่ยวกับสุขภาพ, กายภาพบำบัดและการนวดช่วยดูแลสุขภาพ บรรเทาอาการผ่านการเรียนรู้กายวิภาคจากสื่อออนไลน์


*ที่มาข้อมูลและรูปภาพประกอบ:
  • International Agency for Research on Cancer (IARC). (2002). IARC Monographs on the Evaluation of Carcinogenic Risks to Humans. Volume 82: Some Traditional Herbal Medicines, Some Mycotoxins, Naphthalene and Styrene. International Agency for Research on Cancer.
  • World Health Organization (WHO). (2018). Aflatoxins. Retrieved from https://www.who.int/foodsafety/areas_work/chemical-risks/aflatoxins/en/
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2563). อะฟลาทอกซิน ภัยร้ายใกล้ตัว. สืบค้นเมื่อจาก http://www.dmsc.moph.go.th/
  • เว็บไซต์รูปภาพฟรี (https://unsplash.com/)

Shares: